วันที่นำเข้าข้อมูล 4 มี.ค. 2568
วันที่ปรับปรุงข้อมูล 4 มี.ค. 2568
ด้วยระหว่างวันที่ 2 – 4 มีนาคม 2568 นายศิระ สว่างศิลป์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา ให้การต้อนรับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ในโอกาสการเยือนกาตาร์อย่างเป็นทางการ
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2568 นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พบหารือกับ H.E. Sheikh Mohammed bin Abdulrahman bin Jassim bin Jaber Al Thani นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัฐกาตาร์ เพื่อขอบคุณฝ่ายกาตาร์ที่มีส่วนสำคัญในการไกล่เกลี่ยการปล่อยตัวคนไทยในฉนวนกาซา และขอให้กาตาร์ช่วยสานต่อการเจรจาให้มีการปล่อยตัวคนไทยที่เหลืออยู่ โดยสองฝ่ายแลกเปลี่ยนทัศนะต่อพัฒนาการในภูมิภาค และย้ำการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติ ซึ่งไทยพร้อมสนับสนุนกระบวนการเจรจาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดสันติภาพอย่างยั่งยืนต่อไป นอกจากนี้ สองฝ่ายแลกเปลี่ยนหารือแนวทางการกระชับความร่วมมือระหว่างไทยกับกาตาร์ในทุกมิติ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงศักยภาพของไทยที่สอดคล้องกับความท้าทายของกาตาร์ อาทิ พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก ความมั่นคงทางอาหาร นวัตกรรมวิทยาศาสตร์ฮาลาล การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยปี 2568 เป็นวาระครบรอบ 45 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-กาตาร์
นอกจากนี้ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พบหารือกับ H.E. Sultan bin Saad Al-Muraikhi รัฐมนตรีแห่งรัฐด้านการต่างประเทศกาตาร์ ณ กระทรวงการต่างประเทศกาตาร์ และลงนามความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ/พิเศษระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐกาตาร์
ในโอกาสนี้ นายศิระ สว่างศิลป์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา และภริยา เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันเพื่อเป็นเกียรติแกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะฯ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และคณะฯ ได้เข้าเยี่ยมชมและตรวจราชการที่ทำการใหม่และฝ่ายกงสุลของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโดฮา ซึ่งเปิดทำการเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2567 รวมถึงรับฟังภาพรวมการดำเนินการของสถานเอกอัครราชทูตฯ ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ไทยและกาตาร์ในมิติต่าง ๆ โดยประเทศไทยและกาตาร์สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2525 ซึ่งที่ผ่านมาสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและความร่วมมือกันในหลายมิติทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี อาทิ ความร่วมมือด้านการต่างประเทศและความมั่นคง การส่งเสริมขีดความสามารถและโอกาสทางเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนนวัตกรรมและองค์ความรู้ที่ไทยเชี่ยวชาญและตอบสนองความต้องการของกาตาร์ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน นวัตกรรมวิทยาศาสตร์ฮาลาล และการต่อยอดมูลค่าวัสดุเหลือใช้ในภาคอุตสาหกรรม การส่งเสริมความร่วมมือระดับประชาชน และการส่งเสริมอัตลักษณ์ไทยผ่านวัฒนธรรมไทยต่าง ๆ ทั้งนี้ กาตาร์เป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลางและอันดับ 27 ในตลาดโลก รวมถึงเป็นอันดับ 2 ของโลกที่ไทยนำเข้าและพึ่งพาพลังงานก๊าซธรรมชาติ ซึ่งกาตาร์มีปริมาณก๊าซธรรมชาติสำรองมากเป็นลำดับ 3 ของโลก และมีปริมาณน้ำมันมากเป็นลำดับ 14 ของโลก นอกจากนี้ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ ในฉนวนกาซา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 กาตาร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในฐานะตัวกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อบรรลุความตกลงหยุดยิง การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการแลกเปลี่ยนตัวประกันในฉนวนกาซา ร่วมกับสหรัฐอเมริกาและอียิปต์ ซึ่งนำมาสู่การปล่อยตัวประกัน รวมถึงชาวไทยรวม 28 ราย ซึ่งได้เดินทางกลับไทยแล้ว
การเยือนดังกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนไทย เป็นกระชับความสัมพันธ์ทวิภาคีและสานต่อความร่วมมือไทย-กาตาร์ในทุกมิติจากการเยือนของนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนตุลาคม 2567 โดยสถานเอกอัครราชทูตฯ จะสานต่อข้อริเริ่มต่าง ๆ และขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างไทยกับกาตาร์ในทุกมิติเพื่อผลประโยชน์ของประเทศไทยและประชาชนไทยต่อไป
รูปภาพประกอบ
อาทิตย์ - พฤหัสบดี เวลา 7.30 - 15.30 น.